
“ลูกหลานแห่งทุ่งหญ้าบนสรวงสวรรค์”
โดยเด็ดเล็ฟ เอฟ นูเฟิร์ต
ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นบทสรุปของไตรภาค “ทุ่งหญ้าบนสรวงสวรรค์”
เนื้อหาภูมิหลังคร่าว ๆ มีดังนี้
การระบาดของโรคเอดส์เมื่อปี พ.ศ. 2524 ถือเป็นภัยพิบัติต่อมวลมนุษยชน เนื่องด้วยมีผู้ติดเชื้อ HIV รวมกว่า 40 ล้านราย (ข้อมูลปี พ.ศ. 2566)
ด้วยเหตุที่มีผู้คนเสียชีวิตจากการติดเชื้อ HIV จำนวนมาก จึงมีการวิจัยเพื่อหาแนวทางการรักษาและป้องกัน ในประเทศไทย วิกฤตการณ์ดังกล่าวเกิดกับเด็กเล็กที่ได้รับเชื้อจากบิดามารดาที่เสียชีวิต ทำให้ต้องถูกละทิ้งจากที่อยู่เดิม เนื่องด้วยความเชื่อและความไม่รู้ของญาติพี่น้อง ซึ่งทำให้เด็กเหล่านั้นมักจะเสียชีวิตโดยลำพัง
ในปี พ.ศ. 2547 นักผลิตภาพยนตร์สารคดี นามว่าเด็ดเล็ฟ เอฟ นูเฟิร์ต ได้ทราบเกี่ยวกับโครงการสำหรับเด็กกำพร้าที่ป่วยเป็นโรคเอดส์ในประเทศไทย ถือเป็นประกายความหวังเล็ก ๆ ที่นูเฟิร์ตพึงปรารถนามาเนิ่นนาน: หมู่บ้านแกร์ด้าที่อยู่ในภาคกลางของประเทศไทย ก่อตั้งและสร้างโดยคาร์ล มอร์สบัค ผู้อำนวยการจัดการบริษัทเฮงเค็ลและภรรยา ทัศนีย์ มอร์สบัค
ทั้งสองเล็งเห็นถึงความเจ็บป่วยและภาวะการติดเชื้อของเหล่าเด็กกำพร้าที่ทำให้ต้องกระเสือกกระสนไปเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถช่วยเหลือเด็กให้รอดชีวิตได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อย ทั้งคู่ปรารถนาที่จะให้ช่วงเวลาที่หลงเหลืออันน้อยนิดบนโลกของเด็ก ๆ ไม่ยากลำบาก
บริเวณถัดจากวัด ทั้งสองได้สร้างบ้านเล็ก ๆ และตั้งชื่อว่าบ้านแกร์ด้า โดยคำว่า “แกร์ด้า” เป็นชื่อมารดาของคาร์ล มอร์สบัค โดยให้เด็ก ๆ สามารถก้าวเดินขึ้นสวรรค์ผ่านทุ่งหญ้าที่สวยงามและไม่ต้องทนทุกข์ทรมานดังเดิม สองสามีภรรยาจึงมอบบ้านให้กับเด็กที่มีเวลาหลงเหลือบนโลกไม่กี่วัน ท่ามกลางเด็กกลุ่มแรกสุดของบ้านแกร์ด้า หนึ่งในนั้นคือเบนซ์ในวัย 5 ขวบ
14 วันผ่านมา ครอบครัวมอร์สบัคประสบปัญหาหนึ่ง คือไม่มีเด็กคนไหนอยากเสียชีวิตเลย เหตุการณ์นี้ทำให้ทั้งคู่ครุ่นคิดอยู่นาน และเข้าใจว่าเด็กที่ไหนจะอยากเสียชีวิตหากทราบว่ายังมีคนปกป้องและดูแลตน
ครอบครัวมอร์สบัคจึงมีแนวคิดจะสร้างครอบครัวสำหรับเด็ก ๆ และหา “พ่อแม่” ทดแทนให้กับสมาชิกครอบครัวเดิมที่เสียชีวิตจากโรคเอดส์ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV ที่สามารถควบคุมอาการให้คงที่ได้ จึงทำให้มีผู้อาศัยในหมู่บ้านเด็กกำพร้านี้กว่า 150 คน
ภาพยนตร์ “ทุ่งหญ้าบนสรวงสวรรค์ ปาฏิหาริย์น้อย ๆ จากบ้านแกร์ด้า” ของนูเฟิร์ตบันทึกเรื่องราวของเบนซ์ในวัย 8 ขวบ ความโตเกินวัยและถ้อยคำอันเฉลียวฉลาดที่ถ่ายทอดในภาพยนตร์ยังคงสร้างความตราตรึงใจให้ผู้ชมจนเกือบลืมหายใจ ไม่ว่าจะถูกแปลเป็นภาษาใดก็ตาม
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีคนดูกว่า 20 ล้านคนทั่วโลก รวมถึงราชวงศ์ไทย คณะรัฐมนตรี ประธานาธิบดีและผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ประเทศภูฏาน ซึ่งเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องความสำคัญของความสุขคนในประเทศของตน ได้ออกอากาศภาพยนตร์เรื่อง “ทุ่งหญ้าบนสรวงสวรรค์” ผ่านทางรายการโทรทัศน์ประจำรัฐที่เข้าถึงแม้แต่พื้นที่ชนบท และเป็นภาพยนตร์ที่ว็อล์ฟกัง เพเทอร์เซิน (Wolfgang Petersen) ผู้กำกับภาพยนตร์แห่งค่ายฮอลลีวูดเรียกว่า “ผลงานชิ้นเด่น”
ภาพยนตร์ภาคที่ 2 “ระบำบนทุ่งหญ้าบนสรวงสวรรค์” ถ่ายทำเมื่อเบนซ์อายุ 16 ปี โดยมีนูเฟิร์ต เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ คอยติดตามเด็กนักเรียนวัยรุ่นคนนี้ใช้ชีวิตประจำวัน
ในระหว่างนั้น บ้านแกร์ด้าพัฒนาเป็นหมู่บ้านอิสระที่มีการปลูกผักทำไร่ มีโรงเย็บผ้า โรงทำไม้และสมาชิกครอบครัวในบ้านที่อาศัยอยู่ถาวร
ด้วยความสำเร็จของการแพทย์และการศึกษาวิจัยอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทำให้โรคเอดส์สามารถควบคุมได้สำเร็จ รัฐบาลประเทศไทยเป็นรัฐบาลแรกของโลกที่ให้ยารักษาแก่ผู้ติดเชื้อ HIV แบบไม่มีค่าใช้จ่ายจนถึงทุกวันนี้
ด้วยความอนุเคราะห์จากผู้สนับสนุนหลายท่าน บ้านแกร์ด้าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาทุนจากการบริจาคอีกต่อไป และจากภาพยนตร์สองภาคแรก มหาเศรษฐีหม้ายชาวแคนาดาบริจาคทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้แก่บ้านแกร์ด้าเพราะเล็งเห็นถึงสถานการณ์ผ่านภาพยนตร์ที่ออกอากาศในรายการ Deutsche Welle
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กและผู้ปกครองในบ้านแกร์ด้าส่วนมากสามารถออกไปใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่างปกติได้คือการได้รับยาอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งบางส่วนกำลังศึกษาเล่าเรียน บ้างก็ทำงาน และบ้างก็สร้างครอบครัวใหม่ หลังจากผ่านมา 20 ปี ปาฏิหาริย์เล็ก ๆ ของบ้านแกร์ด้าก็กลายเป็นจริง องค์กร UNESCO จึงยกให้เป็นต้นแบบมูลนิธิของโลก
ที่กล่าวมานั้นเป็นภูมิหลังของไตรภาคทุ่งหญ้าบนสรวงสวรรค์ ส่วนภาพยนตร์สารคดีเรื่อง “ลูกหลานแห่งทุ่งหญ้าบนสรวงสวรรค์” กำลังถ่ายทำอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเป็นการติดตามหลังการรักษา
คาร์ล มอร์สบัคเสียชีวิตลงในช่วงดังกล่าว และได้ไปถึงทุ่งหญ้าบนสรวงสวรรค์ด้วยตนเองแล้ว และเบนซ์จะเป็นอย่างไร
เบนซ์ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงใหญ่ที่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยวนใจ นั่นคือกรุงเทพมหานครฯ
เบนซ์ทำงานระยะสั้นอยู่ในบาร์ค็อกเทลย่านสาทร กรุงเทพมหานครฯ จนกระทั่งผู้ว่าจ้างเริ่มสงสัยในตัวเบนซ์ว่าอาจจะเป็นผู้ติดเชื้อ HIV เบนซ์จึงถูกไล่ออกจากงาน และปัจจุบันทำงานขี่จักรยานยนต์เพื่อส่งอาหารหรือหาบเร่ขายสินค้าเพื่อหาเงินประทังตนเอง
ในวัย 8 ขวบ อาจจะเป็นช่วงวัยที่ยังไม่เรียนรู้ในตนเอง แต่ในวัย 16 ปีที่มีพัฒนาการทางเพศอย่างสมบูรณ์แล้ว เบนซ์ใช้ชีวิตตามตัวตนที่แท้จริงในวัย 30 ปี ปัจจุบันเบนซ์ใช้ชีวิตเป็นกะเทยในสังคมไทย
เบนซ์ส่งเงินให้บ้านแกร์ด้าบ่อยครั้งเพื่อเป็นการตอบแทน ถึงแม้ว่าจะหาได้เพียงน้อยนิด
ในบางครั้ง เบนซ์รู้สึกเหนื่อยล้ากับชีวิต นอกเหนือจากความยากลำบากทางการเงินแล้ว ยังมีภาระทางจิตใจอันมีผลมาจากการติดเชื้อ HIV ที่สร้างความหนักใจให้กับเบนซ์อีกด้วย แววตาของเบนซ์มีแต่ความเศร้าโศก เสื้อผ้ามอมแมม บางครั้งเบนซ์ก็ไม่มั่นใจว่าเป็นเพราะเวรกรรมของตนหรือไม่ ท่ามกลางความโดดเดี่ยวนั้น เบนซ์มักจะร้องขอให้พ่อแม่มาอยู่เคียงข้างตนในป่าช้า
แต่แล้วเบนซ์ก็เก็บเกี่ยวแนวคิดจากบ้านแกร์ด้ามาใช้ นั่นคือการสร้างครอบครัวด้วยตนเอง
แล้วใครจะอยากสร้างครอบครัวกับกะเทย
เหตุการณ์ลักษณะนี้มักจะต้องพึ่งความช่วยเหลือจากปาฏิหาริย์หรือเทวดา ในครั้งนี้คือต้น เด็กชายชาวนาวัย 12 ปีจากอีสาน ซึ่งเป็นภูมิภาคที่คนมักมองว่า “ยากแค้น” โดยภาคอีสานหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านยังดำเนินชีวิตตามจารีตประเพณีเดิม ต่างกับที่อื่น ๆ ในโลกที่รากฐานและต้นกำเนิดเริ่มจางหายไปตามกาลเวลา
ต้นจะเป็นเทวดาผู้ช่วยชีวิตหรือไม่
ต้นใช้ชีวิตอยู่กับยายในที่นาเล็ก ๆ ในจังหวัดมหาสารคาม โดยที่พ่อแม่ต้นทำงานอยู่ในตัวเมืองกรุงเทพฯ ต้นไปเที่ยวหาพ่อแม่บ้างในช่วงวันหยุด จึงทำให้พบกับเบนซ์
ต้นรักในศิลปะและ “หมอลำ” ดนตรีดั้งเดิมของอีสาน ต้นเป็นนักร้องที่มีพรสวรรค์ ในปัจจุบันมีผู้ติดตามบนเฟซบุ๊กกว่า 1 ล้านคน ซึ่งต้นจะเป็นคนช่วยเบนซ์สร้างครอบครัวในฝัน
การสร้างครอบครัวจากที่ไม่มีอะไรเลยของเบนซ์และต้นนั้นจะเป็นเนื้อหาแนวตลกขบขัน มีการนำฉากการดำรงชีวิตประจำวันของกะเทยในเมืองกรุงเทพฯ มาผสมผสานกับชีวิตเรียบง่ายของเด็กชาวนาจากอีสาน
เบนซ์พบกับหญิงสาวที่สวยงามที่สุดในโลกของหญิงข้ามเพศ “มิสทิฟฟานี่” ในพัทยาประกอบกับเพลงที่ต้นร่ำร้องกล่อมยายทุกเย็นท่ามกลางเหล่าวัวควายที่แอบฟังความไพเราะนั้น ความขัดแย้งนี้จะทำให้ผู้ชมสารคดีจับใจอย่างแน่นอน
รถเมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่นปี ค.ศ. 1971 จะมีบทบาทเช่นกัน ทั้งสองจะ “ขับ” รถสู่เส้นทางในจินตนาการไปทั่วโลก นี่คือความฝันทั่วไปของคนยากไร้หรือไม่
และจะขาดบทบาทป้ากะเทยที่ร่ำรวยจากอเมริกาไปไม่ได้
เบนซ์: “แต่หนูไม่มีป้าที่รวยแล้วอยู่อเมริกานะ”
คุณป้า: “บ้าหน่า ทุกคนมีคุณป้าร่ำรวยที่อยู่อเมริกา”
ลองออกมาจากความเป็นจริงสักครู่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราทุกคนต้องการอยู่บ่อย ๆ ครั้งหรือ ด้วยการทิ้งลูกเล่นตลกขบขันสักหน่อย
และแน่นอน ฉากจากภาพยนตร์สองเรื่องก่อนหน้าจะถูกนำมารวมใน “ลูกหลานแห่งทุ่งหญ้าบนสรวงสวรรค์” ด้วย
ภาพยนตร์นี้จะแบ่งการถ่ายทำเป็น 4 ส่วนในประเทศไทย ได้แก่
ส่วนที่ 1: ชีวิตของเบนซ์ในกรุงเทพมหานครฯ
ส่วนที่ 2: ชีวิตของต้นในอีสาน
ส่วนที่ 3: การพบเจอของเบนซ์และต้น
ส่วนที่ 4: ฉากแห่งความฝัน
ช่วงท้ายการถ่ายทำจะอยู่ที่เบอร์ลิน
ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นการผสมผสานระหว่างสารคดีกับบันเทิงคดี (นวนิยายเรื่องแต่ง) ภูมิหลังด้านศีลธรรมกล่าวถึงประเด็นการแบ่งแยกและการประทับตราบาปให้คนในสังคมทั่วโลก
การแสดงรอบปฐมทัศน์ได้รับการกำหนดเวลาแสดงไว้ในช่วงเดือนมกราคมของปี พ.ศ. 2568 ที่ทิฟฟานี่โชว์ในพัทยา และจะมีการฉายในประเทศเยอรมนีและเผยแพร่ไปทั่วโลก
จะมีการแสดงตัวอย่างภาพยนตร์ที่การประชุม Munich World AIDS Conference ในวันที่ 25 กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2567 นี้ นูเฟิร์ตได้รับเชิญให้ไปอภิปรายเกี่ยวกับแนวคิดของบ้านแกร์ด้า
ท้ายที่สุดนี้ คำกล่าวเล็กน้อยเกี่ยวกับนักผลิตภาพยนตร์และผู้กำกับ เด็ดเล็ฟ เอฟ นูเฟิร์ต แง่ของผลงานและการขอรับการสนับสนุน
นูเฟิร์ตได้รับรางวัลมากมายและเป็นที่รู้จักจากภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นด้านอื่น ๆ เกี่ยวกับชีวิตเราที่คนทั่วไปมักจะไม่ตระหนักรู้ บางสิ่งที่ผู้ชมของนูเฟิร์ตอาจจะไม่ทราบ คือ นูเฟิร์ตผลิตภาพยนตร์ด้วยทุนทรัพย์ของตนทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่หาญกล้าอย่างมากในปัจจุบัน
“นูเฟิร์ตมีความกล้าหาญอย่างยิ่งที่ให้ความสำคัญกับความสงบสุขของโลกมากกว่าของตน” สำนักข่าว Berliner Zeitung เขียนเกี่ยวกับผลงานของนูเฟิร์ต ด้วยภาพยนตร์และผลงานต่าง ๆ นูเฟิร์ตไม่ได้ต้องการแค่เพียงการแสดงให้เห็นถึงความยากลำบากและหายนะในชีวิตเรา แต่ยังต้องการให้เห็นถึงความหวังและการหาทางออกซึ่งเป็นอีกด้านของหายนะนั้นอีกด้วย ถือเป็นจิตวิญญาณที่พยายามลุกขึ้นสู้เพื่อคนอื่น ๆ ในโลก
ผลงานของนูเฟิร์ตส่งเสริมให้ทุกคนไม่ยอมแพ้ ถึงแม้จะเผชิญกับสถานการณ์ในชีวิตที่ย่ำแย่ที่สุด เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในด้านดีของมนุษย์และผลักดันถ้อยคำที่ว่าทุกคนสมควรได้รับความรัก
นี่คือสาเหตุที่ทีมงานและหมู่เพื่อนของนูเฟิร์ตตั้งใจทำงานอย่างหนักเพื่อนำเสนอการตระหนักรู้ในเรื่องราวระหว่างคนสองคนที่ทำให้ผู้ชมทุกคนได้เรียนรู้ในชีวิต นั่นคือเบนซ์และต้นจากบ้านแกร์ด้า
ด้วยความอนุเคราะห์จากการสนับสนุนจากบริษัทเฮงเค็ล ส่วนแรกของภาพยนตร์ถ่ายทำสำเร็จแล้ว และเมื่อทุนทรัพย์สำหรับส่วนที่สองสำเร็จ การถ่ายทำจะดำเนินต่อ
ในบทสนทนาล่าสุดกับทางทีมและหมู่เพื่อนในประเทศไทย นูเฟิร์ตให้กำลังใจทุกคน “ไวน์แก้วที่คุณอยากดื่มฉลองกับผมในตอนท้าย คุณสามารถบริจาคมันให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ในครั้งนี้ และมันก็จะไปอยู่ในคลังเก็บไวน์ด้วย”
นูเฟิร์ตฝากข้อความให้กับผู้สนับสนุนทุกท่านในอนาคต “พวกเราขอขอบคุณจากใจจริงกับการสนับสนุนและการบริจาคที่ทำให้ภาพยนตร์นี้เป็นจริง ทุก 50 ยูโร (ประมาณ 1976 บาท เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2567) ท่านจะได้รับแผ่น DVD ภาพยนตร์เรื่อง ‘ลูกหลานแห่งทุ่งหญ้าบนสรวงวรรค์’ และท่านจะถูกจดจำผ่านเครดิตท้ายเรื่อง ท่านจะเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดในภาพยนตร์ของผมที่ทำให้โลกนี้ดีขึ้นและได้ช่วยเหลือคนอย่างจับต้องได้อีกด้วย”
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นูเฟิร์ตคำนึงถึงเบนซ์และต้นที่จะช่วยทำให้ภาพยนตร์เรื่อง “ลูกหลานแห่งทุ่งหญ้าบนสรวงสวรรค์” สำเร็จลุล่วงได้ เพื่อสนับสนุนการเงินของทั้งสองคนให้มีความมั่นคงในอนาคต

Erstelle deine eigene Website mit Webador